ชายหาดจ้าวหลาว

เล่นน้ำทะเล น้ำใสหาดสวย ที่ ชายหาดจ้าวหลาว อ.ท่าใหม่

โชว์โลมาแสนรู้ที่โอเอซิสซีเวิลด์ อ.แหลมสิงห์

พบกับโลมาหลากหลายสายพันธุ์ ที่จะทำให้คุณอมยิ้ม กับหลากหลายลีลาน่ารักๆ

สะพานแหลมสิงห์

ชมวิวสวยๆ บรรยากาศชิลๆ บนสะพานแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์

น้ำตกพลิ้ว

เล่นน้ำฉ่ำชื่นกับฝูงปลาพลวง กับบรรยากาศเย็นสบาย ที่น้ำตกพลิ้ว อ.แหลมสิงห์

ปลายจันท์รีสอร์ท

พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ลิ้มรสอาหารแสนอร่อย ที่ปลายจันท์ อ.ขลุง

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

น้ำตกคลองนารายณ์



น้ำตกคลองนารายณ์

น้ำตกคลองนารายณ์มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “น้ำตกเขาสระบาป” ถือเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 18 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งนำน้ำมาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือพระราชพิธีในการสถาปนาซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์



ไม่มีประวัติระบุว่ามีการนำน้ำจากน้ำตกแห่งนี้มาเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ สมัยใด ตำนานเล่าว่า น้ำตกคลองนารายณ์ไหลออกมาจากโพรงถ้ำใหญ่บนเขาสระบาป ภายในถ้ำมีเทวรูปพระนารายณ์สถิตอยู่ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการพิสูจน์ว่ามีเทวรูปดังกล่าวจริงหรือไม่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวเคยลงสรงน้ำในธารน้ำตกแห่งนี้


น้ำตกคลองนารายณ์อยู่ที่ตำบลคลองนารายณ์ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 6 กิโลเมตร น้ำตกอยู่ห่างจากถนนใหญ่สายจันทบุรี-ตราด ประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ พล.3 (คลองนารายณ์) จากนั้นเดินเท้าไปอีก 2.5 กิโลเมตร ผ่านป่าดิบชื้นก็จะถึงน้ำตกคลองนารายณ์ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดกลางไหลลดหลั่นจากผาชันสูง 25 เมตร น้ำใสสะอาดและมีน้ำมากตลอดปี เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการเดินป่าชมความงามของพฤกษาชาติและน้ำตก


อ่างศาล อยู่เลยจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติมาประมาณ 300 เมตร บริเวณข้างลำธารจะพบศาลตั้งอยู่ ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของปรำที่ประทับและจุลสีห์จุมพต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างไว้กลางลำธารเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ปัจจุบันเหลือเพียงร่อยรอยบริเวณที่เคยเป็นพระเจดีย์ เพราะได้ถูกระแสน้ำพัดพังไปเมื่อปี 2517


อ่างสรงหรืออ่างหงส์ อยู่เลยจากอ่างศาลประมาณ 200 เมตร มีลักษณะเป็นน้ำตกเล็กๆ ไหลลงมาจากหน้าผาหินเป็นทางคล้ายหางหงส์ ในอดีตบริเวณแอ่งน้ำกว้าง ในหลวงรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทั้งสองพระองค์ทรงลงสรงน้ำ ณ อ่างสรงแห่งนี้


ถ้ำพระนารายณ์ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่มีลำธารน้ำใสบริสุทธิ์ไหลออกมา แหล่งน้ำแห่งนี้ถือเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 18 แห่งของประเทศที่ใช้ในพิธีมูรธาภิเษกในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ปัจจุบันหินได้ถล่มลงมาปิดปากถ้ำแต่ยังคงมีน้ำไหลออกมาอยู่ตลอดปี


อุทยานแห่งชาติได้จัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 2 .5 กิโลเมตร ผ่านจุดศึกษาธรรมชาติที่น่าสนใจ เช่น ถ้ำนารายณ์ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ มาสิ้นสุดที่อ่างศิลา นอกจากนี้ยังมีน้ำตกที่สวยงามซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากน้ำตกคลองนารายณ์อีก 2 แห่ง คือ น้ำตกกลาง และน้ำตกอัศจรรย์

น้ำตกคลองนารายณ์เป็นน้ำตกขนาตกลางสูงราว 25 ม.สายน้ำไหลจากผาสูงชันลดหลั่นลงมาผ่านโขดหิน น้ำใสสะอาดและมีน้ำมากตลอดปี บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วย พันธ์ไม้หลากชนิด เช่น พนอง กฤษณา สัตบรรณ เป็นต้น

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว


อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย และมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ น้ำตกพลิ้วที่สวยงาม มีน้ำตกตลอดปี เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโลเมตร ถนนลาดยางตลอดสายทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีเนื้อที่ประมาณ 134.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่


ความเป็นมา : ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ ในขั้นแรกกรมป่าไม้ได้กำหนดพื้นที่ที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 และในปี พ.ศ. 2515 ได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงบริเวณน้ำตกพลิ้ว จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานป่าไม้จังหวัดจันทบุรี


ในคราวประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2517 ได้มีมติให้รีบดำเนินการประกาศพื้นที่ป่าที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร็ว และจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือด่วนมาก ที่ จบ.09/1401 ลงวันที่ 31 มกราคม 2517 ขอให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว เพื่อปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักการจัดการวนอุทยาน ประกอบกับในปี 2517 กองอุทยานแห่งชาติมีแผนงานจัดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2517 กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งที่ 360/2517 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2517 ให้นายสินไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ตรี และนายประชุม ตัณยะบุตร พนักงานโครงการชั้น 2 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลบริเวณป่าน้ำตกพลิ้ว เขาสระบาป ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ปรากฏว่า บริเวณดังกล่าวประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธาร เช่น น้ำตก หน้าผา ถ้ำ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กส 0708(อส)/7 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2517


กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในคราวประชุมครั้งที่ 6/2517 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2517 เห็นชอบให้กำหนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ในท้องที่ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ ตำบลคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม และตำบลมาบไพ ตำบลวังสรรพรส ตำบลตรอกนอง ตำบลซึ้ง ตำบลตะปอน ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 92 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2518 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 11 ของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า " อุทยานแห่งชาติเขาสระบาป "


ต่อมานายผจญ ธนมิตรามณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาสระบาป ได้มีหนังสือ ที่ กษ 0708 (สบ)/พิเศษ ลงวันที่ 1 มีนาคม 2525 ขอเปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติเขาสระบาปเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เนื่องจากน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามตามธรรมชาติเป็นจุดเด่นของ อุทยานแห่งชาติ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนโดยทั่วไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2525 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2525 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อเป็น " อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว "

น้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงาม มีน้ำตลอดปี ประกอบด้วยสายธาร 2 สาย สายหนึ่งไหลลดหลั่นผ่านซอกหินผา อีกสายหนึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ทิ้งตัวลงมาจากผาสูง 20 เมตร ทั้งสองสายไหลมารวมกันในแอ่งน้ำใสสะอาด มากสามารถมองเห็นพื้นล่างซึ่งส่วนใหญ่เป็นหินและทรายในระดับลึกกว่า 2 เมตร ภายในบริเวณน้ำตกและลำคลองมีปลาใหญ่น้อยหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นที่ตื่นตาตรึงใจกับฝูงปลาแก่ผู้ที่ไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะปลาพลวงหินเหล่านี้


น้ำตกพลิ้วเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประชาชนชาวจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดอื่นๆ รวมถึงชาวต่างชาติรู้จักกันดี และไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจมากที่สุด รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสน้ำตกแห่งนี้หลายครั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2417-2424 และทรงยกย่องว่าเป็นน้ำตกที่งดงามที่สุดในบรรดาน้ำตกที่พระองค์เคยเสด็จ ประพาส อุทยานแห่งชาติได้จัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นอยู่ตรงข้ามที่ทำการอุทยานแห่งชาติ สิ้นสุดอยู่บริเวณด้านหน้าอลงกรณ์เจดีย์ ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง


ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูง มียอดเขาสลับซับซ้อนสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 20-924 เมตร ค่อยๆ ลาดลงทางทิศใต้ มีที่ราบแคบๆ ทั่วไปบริเวณไหล่เขา พื้นที่มีความลาดชันสูง จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่ที่ยอดเขามาบหว้ากรอก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 924 เมตร ลักษณะทางธรณีวิทยาส่วนใหญ่เป็นหินอัคนีประเภทหินแกรนิต ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนที่ ประกอบไปด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยตาโบ คลองโป่งแรด คลองนารายณ์ คลองสระบาป คลองคมบาง คลองนาป่า คลองพลิ้ว คลองน้ำแห้ง คลองหนองเสม็ด คลองตะปอนน้อย คลองตะปอนใหญ่ คลองขลุง คลองเคล คลองตรอกนอง และคลองมะกอก กระจายอยู่รอบพื้นที่


ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพอากาศระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน อากาศจะค่อนข้างร้อน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม จะมีฝนตกชุกปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 3,000 มม./ปี และระหว่างเดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ์ อากาศจะเย็นสบายที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 26 องศาเซลเซียส

(กล้วยไม้เหลืองจันทบูร)


พืชพรรณและสัตว์ป่า

สภาพป่าทั่วไปเป็นป่าดงดิบชื้นที่สมบูรณ์ จัดอยู่ในเขตพฤกษศาสตร์อินโดไชน่าเนื่องจากอิทธิพลของทะเล มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญได้แก่ พุงทะลาย เคี่ยมคะนอง กระบกกรัง พนอง ตะเคียนหิน ยางแดง กฤษณา ตาเสือ พะวา ชะมวง จิกดง ปออีเก้ง และขนุนป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างขึ้นปกคลุมพื้นป่าอีกหลายชนิด เช่น หัสคุณ ฆ้อนตีหมา แก้มขาว หวายลิง กะพ้อ ระกำ เต่าร้าง ไผ่ซี้ เร่วป่า ปุดใหญ่ และกระทือ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพืชอิงอาศัยหลายชนิดเกาะอยู่ตามลำต้นและกิ่งก้าน ได้แก่ ชายผ้าสีดา กระแตไต่ไม้ ข้าหลวงหลังลาย เกล็ดนาคราช และกล้วยไม้นานาชนิด เช่น กะเรกะร่อน เหลืองจันทบูร และเอื้องมัจฉา ไม้เถาเลื้อยที่พบ ได้แก่ พญาปล้องทอง เถาคัน พญาเท้าเอว แสลงพันเถา หวายกำพวน หวายขริง และหวายเล็ก ฯลฯ

(ตัวลั้ง พบเจอได้ในบริเวณน้ำตกพลิ้ว)

เนื่องจากสภาพป่าของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วมีลักษณะเป็นผืนป่าธรรมชาติโดด เดี่ยวคล้ายป่าเกาะที่ถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนที่อยู่อาศัย ไม่มีผืนป่าธรรมชาติแห่งอื่นที่ต่อเนื่องหรือใกล้เคียง ประกอบกับพื้นที่มีขนาดไม่มากนัก ความหลากหลายของสัตว์ป่าในพื้นที่จึงมีน้อย ที่พบโดยทั่วไป ได้แก่ เลียงผา หมูป่า อีเห็นข้างลาย ลิงกัง ชะนีมงกุฎ ลิ่นชวา อีเห็นข้างลาย กระแตเหนือ กระรอกแดง ค้างคาวเล็บกุด ค้างคาวปีกถุงต่อมคาง หนูฟานเหลือง เป็ดแดง ไก่ป่า นกหกเล็กปากแดง นกกระปูดใหญ่ นกเด้าลมหลังเทา นกเฉี่ยวดงหางสีน้ำตาล นกขมิ้นน้อยสวน นกเขียวคราม นกปรอดทอง นกแซงแซวหางปลา นกกินแมลงอกเหลือง นกกระจิบสวน นกกางเขนดง นกกินปลีคอแดง นกสีชมพูสวน ตุ๊กแกป่าตะวันออก จิ้งจกหางแบน กิ้งก่าบินปีกสีส้ม จิ้งเหลนหลากหลาย ตะกวด ลั๊งหรือตะกอง งูลายสาบเขียวขวั้นดำ งูเขียวหัวจิ้งจกป่า คางคกบ้าน กบอ่อง เขียดตะปาด และอึ่งอ่างบ้านฯลฯ นอกจากนี้ยังมีปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาสร้อยขาว ปลากดหิน ปลาค้อ ปลาจิ้งจก ปลาพลวงหิน ปลากระทิง ปลาสร้อยลูกกล้วย เป็นต้น


อลงกรณ์เจดีย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อม ด้วยพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี ได้ทรงโปรดปรานให้สร้างเจดีย์ทำด้วยศิลาแลงขึ้นที่บริเวณหน้าผาด้านหน้า น้ำตกพลิ้วเมื่อ พ.ศ. 2419 เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วด้วยกัน และพระราชทานนามว่า " อลงกรณ์เจดีย์ " พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดน้ำตกพลิ้วเป็นอย่างยิ่งและ ได้เสด็จประพาสหลายคราว ทรงโปรดมากถึงกับมีพระราชดำรัสว่า " เราได้เห็นน้ำตกอย่างนี้มาสองสามแห่ง คือที่ปีนัง เกาะช้าง และสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ด้วยเย็นสบายจริง "


สถูปพระนางเรือล่ม
อยู่ในบริเวณน้ำตกพลิ้ว สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2424) เพื่อเป็นที่ระลึกแก่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี ภายในสภูปพระนางเรือล่มบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯด้วย เนื่องจากพระองค์ท่านเคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วเมื่อ พ.ศ. 2417 และทรงโสมนัส ชื่นชม ความงามธรรมชาติของน้ำตกพลิ้วยิ่งนัก การที่ทรงโปรดให้สร้างอนุเสาวรีย์รูปปิรามิดก็ด้วยทรงพระราชดำริว่า " ทำเป็นรูปอื่นอาจไม่คงทนภาวร เพราะตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรอันไม่มีผู้ดูแล ฉะนั้นเมื่อปิรามิดของอียิปต์ยืนยงคงทนได้ฉันใด ปิรามิดน้อยนี้ก็คงจะยืนยงคงทนอยู่เช่นกัน ณ ท่ามกลางป่าและเสียงไหลรินของธารพลิ้ว "

ขอขอบคุณรูปภาพจากหลากหลายที่มาครับ

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาชีพการทำพลอยในจังหวัดจันทบุรี (gems story)


เพชรพลอย เป็นอัญมณีที่มีค่าและถูกยกย่องว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่สูงค่า ซึ่งมนุษย์ทุกผู้ ทุกนามต้องการที่จะมีไว้เป็นสมบัติครอบครองโดยเฉพาะสตรี ซึ่งใช้ป็นเครื่องประดับร่างกายให้ดู สวยงามน่ารัก ทั้งยังเป็นเครื่องบ่งชี้ฐานะของผู้ป็นเจ้าของด้วย เพชรพลอยและอัญมณีอื่นๆ ในโลกนี้มีมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีกำเนิดจากแร่ธาตุต่าง ๆ กัน เป็นที่น่าอัศจรรย์ และพิศวงยิ่งนักมนุษย์ได้จำแนกชนิดของพลอยชนิดต่าง ๆ ตามลักษณะ คุณสมบัติของธรรม ชาติ ความแข็ง สีสรรและความบริสุทธิ์ของเนื้อพลอยชนิดนั้น ๆ จากการที่พลอยมีแสงประกาย เจิดจ้างดงามเป็นของที่เสาะแสวงหายากยิ่งนั้นทำให้เป็นที่เชิดชูยกย่องและ หวงแหน ยึดถือเป็น สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล แก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง


สำหรับประเทศไทยเราอัญมณี 9 ชนิด ที่ ยึดถือว่าเป็นเครื่องประดับที่เป็นมงคลสามารถปกป้องภัยภิบัติ และยังความเป็นสิริมงคงแก่ผู้ สวมใส่ นั่นคือ

  • เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต
  • เหลืองสดใสบุษราคัม แดงแก่กล่ำโกเมนเอก
  • สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว
  • แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพทูรย์

จันทบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย ที่ธรรมชาติประทานพื้นที่ดินให้ไว้ซึ่งอุดมไปด้วย แร่ธาตุนานาชนิด และอัญมณีที่มีค่ามากมายดาระดาษทั่วไปในพื้นที่ของอำเภอต่าง ๆ ซึ่งนับว่า เป็นทรัพยากรของชาติที่สำคัญ และนำเงินตราเข้าประเทศได้อย่างมหาศาลในปีหนึ่ง ๆ ซึ่งเป็น อาชีพหนึ่งที่ชาวจันท์ยึดถือสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นเวลาช้านานแล้ว


พลอยจังหวัด จันทบุรีที่ขุดได้จากใต้แผ่นดินเมืองจันท์ ได้ชื่อว่าเป็นเป็นอัณมณีน้ำดีเป็นเอกเป็นที่รู้จักกันอย่าง ดี ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ แม้กระทั่งบันทึกของ นายจอนห์ คราฟอร์ด พ่อค้าชาวอังกฤษ ที่เข้ามาค้าขายกับไทย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ประมาณปี 2365 ได้บันทึกไว้ว่า " พลอย ชั้นดี เช่น ทับทิม บุษราคัม มรกต และพลอยสีน้ำเงิน มีอยู่ตามเทือกเขาทั่วไปในจังหวัดจันทบุรี "


อัญมณีในส่วนภูมิภาคนี้ นักธรณีวิทยาได้ค้นคว้าหาหลักฐานทางธรณีวิทยา และอธิบายว่า เป็นแหล่งภูเขาที่มีกำเนิดจาก หินภูเขาไฟประเภทลาวาชนิดหนึ่งที่ เรียกว่า " เนพิลิน บาซาไนท์ " ( NEPHELINE BASANITE ) ซึ่งป็นหินบะซอล ที่มีเนื้อแข็งแกร่ง มากชาวบ้านเรียกว่า " หินตับเป็ด " ผลึกพลอยจะฝังจมอยู่กับหินชนิดนี้ เมื่อขุดค้นหา จนถึงชั้นของหินชนิดนี้แล้วก็จะ นำดินมาร่อนล้างในน้ำให้ดินสลายตัว ก็จะปรากฎ ให้เห็นเม็ดพลอยที่มีแสงแวววาวหลากสีปะปน อยู่กับกรวดและหิน


การขุดค้น เสาะแสวงหา พลอยเป็นอาชีพที่เสี่ยงโชคอย่างหนึ่งและเป็นการ ดำเนินชีวิตที่ต้องพบ และประสบกับเรื่องราวแปลกๆ ที่เล่าขานกันไม่มีวันจบ ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์ เคล้าปนกันไปเหมือนเม็ดพลอยที่ปะปนอยู่กับกรวดหินดินทราย ก็เพราะพลอยนี่แหละที่ทำให้ นักเผชิญโชคซึ่งมีทั้งชาวจันท์ ชาวต่างจังหวัด ตลอดจนชาวต่างประเทศ ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีก็ มากหลาย แต่ที่ล่มจนหมดตัว และต้องฆ่าตัวตายเนื่องจาก การค้าพลอยขาดทุนล้มเหลว ก็ไม่ใช่น้อย


ดังมีคำพังเพยเปรียบเทียบไว้ว่า "ยาจกดวงดี อาจเป็นเศรษฐีในพริบตา ถ้าเศรษฐีดวงตก อาจเป็นยาจกได้เช่นกัน" ด้วยเหตุผลนี้แหละจีงเป็นที่เชื่อถือกันว่าพลอยนั้น เป็นแร่อาถรรพ์ เป็น ของสูง เป็นแร่ธาตุที่ผู้ค้ามิควรดูแคลนในคุณค่า และทิ้งขว้าง เหยียบย่ำในที่ต่ำเศรษฐีพลอยที่ ร่ำรวยมีหลักฐานมั่นคงมีจำนวนไม่มากนัก เขามีหลักปฏิบัติต่อพลอยอย่างดีเยี่ยม และเขาจะเก็บกำวิธีการนี้อย่างเป็นความลับสุดยอด เฉพาะตัวไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้

ขอบคุณที่มาของข้อมูลดีๆครับ(คลิ๊กเพื่อเข้าชม)

ขอขอบคุณเจ้าของรูปภาพจากหลากหลายที่มาครับ

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อลงกรณ์เจดีย์และอนุสาวดีพระนางเรือล่ม



อลงกรณ์เจดีย์และอนุสาวดีพระนางเรือล่ม

เป็นเจดีย์ศิลาแลง ทรงกลมแบบลังกา มีบันไดขึ้นบานทักษินทั้ง 4 ด้าน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประภาสน้ำตกพริ้ว พ.ศ. 2419 ได้โปรดเกล้าฯให้ พระยาจันทบุรีสร้างขึ้น ณ เขาสระบาปบริเวณน้ำตกพลิ้ว


และเมื่อ พ.ศ. 2424 ได้โปรดเกล้าฯให้สร้า้งพระอนุสาวรีย์เป็นรูปปิรามิดด้วยแผ่นอิฐ เพื่อบรรจุอังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ทรงเคยเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้


ทรงโปรดให้จารึกอักษรข้อความไว้ว่า "ระลึกถึงความรัก แห่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชาเทวีอรรคมเหสี ซึ่งเสด็จทิวงคตแล้ว ด้วยเธอได้มาถึงที่นี่เมื่อจุลศักราช 1236(พ.ศ.2417) โดยความยินดีชอบใจอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นโดยจุฬาลงกรณ์บรมราชผู้เป็นราชสวามี อันมีความทุกข์เพราะเธอเป็นอย่างยิ่ง ในจุลศักราช 2413 (พ.ศ.2424)"


ต่อมาทั้งอลงกรณ์เจดีย์และอนุสาวดีพระนางเรือล่ม ชำรุดทรุดโทรมลงมาก จังหวัดจันทบุรีและกรมศิลปากรจึงร่วมกันบูรณขึ้นใหม่ตามแบบเดิม เมื่อ พ.ศ. 2508 แต่แผ่นดินอ่อนที่จารึกข้อความนี้ไว้ได้สูญหายไปเสียแล้ว